วิธีการรักษาสิว ทั้งสิวอุดตัน สิวอักเสบ สิวผด ให้หายโดยไม่ทิ้งรอยแดงรอยดำเอาไว้ !!!
หลายๆคนเห็นวิธีรักษาสิว ทั้งยารักษาสิว ครีมทาสิวมีหลายชนิด หาข้อมูลในเน็ตจนสับสนว่าต้องทาอย่างไร
วันนี้หมอมีคำแนะนำที่ถูกต้องตามหลักการแพทย์มาฝากกันนะคะ
เริ่มจากตัวแรก...
1. Benzoyl Peroxide หรือ ยี่ห้อที่นิยมใช้กัน เช่น Benzac , Panoxyl
คุณสมบัติ : ฆ่าเชื้อ ละลายหัวสิว เหมาะสำหรับคนที่เป็นสิวอุดตันและสิวอักเสบ
วิธีการทา : ทาบริเวณที่มีสิว ทิ้งไว้ก่อนล้างหน้าอย่างน้อย 2-3 นาที เป็นประจำ เช้า – เย็น
ควรเว้นบริเวณที่บอบบาง เช่น รอบปาก ข้างจมูก ใต้ตา
หากแสบให้รีบล้างออก !!!!
ไม่ควรทิ้งไว้นานเกิน 15 นาที เพราะจะทำให้เกิดการระคายเคืองได้
การทิ้งไว้เป็นเวลานานประสิทธิภาพที่ได้ไม่ต่างกันค่ะ
ผลข้างเคียงของยาชนิดนี้ ทำผิวแห้งลง จากการลดการทำงานของต่อมไขมัน
หากใช้แล้วมีปัญหาหน้าแห้ง อาจจะต้องลดความเข้มข้นและระยะเวลาการทาลง
เหลือเพียง 1-2 นาที หรือ ทาแค่วันละครั้ง
สำหรับคนที่แต่งหน้า ก่อนลงตัวยาชนิดนี้
อย่าลืมล้างเครื่องสำอางออกและซับให้แห้งก่อนทายาด้วยนะคะ
การเช็ดเครื่องสำอางด้วยสำลี มีผลทำให้เกิดการระคายเคืองได้มากขึ้น
♦ ความเข้มข้นที่มีวางจำหน่ายในท้องตลาด 2.5% 5% และ 10%
ในคนที่เริ่มใช้ หมอแนะนำที่ 2.5% ก็เพียงพอแล้วค่ะ เพื่อลดโอกาสการระคายเคืองนะคะ
2. Clindamycin Lotion / Gel หรือ ยาฆ่าเชื้อแต้มสิวที่รู้จักกันดี เช่น Clinda-M , Clindalin gel
คุณสมบัติ : ฆ่าเชื้อสิว
วิธีใช้ : แต้มสิวอักเสบ สิวหนอง เช้า-เย็น หลังล้างหน้า
แนะนำว่าควรใช้ควบคู่กับตัวยา Benzoyl peroxide เพื่อเสริมฤทธิ์การฆ่าเชื้อ ลดโอกาสเชื้อดื้อยา
ตัวยาชนิดนี้ หลายยี่ห้อ มักมีแอลกอฮอล์เป็นส่วนผสม ทำให้เกิดการ Burn หรือ รู้สึกแสบขณะทาได้
ในเคสที่ผิวแพ้ง่าย ควรเลือกชนิดที่ไม่มีแอลกอฮอล์ผสมนะคะ
นอกจากนี้ยังต้องระวังในคนที่แพ้ยาปฏิชีวนะชนิดนี้ด้วยค่ะ
3. Ketoconazole Cream หรือ ที่รู้จักกันดี เช่น ยี่ห้อ Nizoral , Nizral
คุณสมบัติ :
รักษาเชื้อรา ยีสต์
ช่วยลดสิวผด หรือ สิวเม็ดเล็กๆไม่มีหัว ที่ชอบเห่อขึ้นเวลาอากาศร้อนชื้น เหงื่อออก
เช่น สิวที่หน้าผาก T-zone สิวที่หลัง สิวที่อก สิวตามลำตัว
ลดสิวตามลำตัว หรือ รูขุมขนอักเสบจากยีสต์
มีฤทธิ์ลดการอักเสบอ่อนๆ สามารถช่วยลดการอักเสบของสิวได้ด้วย
นอกจากนี้ยังใช้เป็นยารักษาโรคผิวหนังอักเสบเซ็บเดิม (Seborrheic Dermatitis) อีกด้วยค่ะ
วิธีการใช้ยา : ทาเช้า-เย็น
ควรทาต่อเนื่องอย่างน้อย 2-4 สัปดาห์ เพื่อผลการรักษาที่ดี ป้องกันเชื้อดื้อยานะคะ
4. ยาละลายหัวสิว กลุ่มวิตามินเอ เช่น tretinoic acid , isotretinoic acid, Adapalene
หรือที่รู้จักกันในชื่อยี่ห้อ Retin-A หรือ Differin หรือ Iso ในคลินิกผิวหนัง
คุณสมบัติ : ละลายหัวสิว ลดรอยดำ ลดการอักเสบของสิว
วิธีการใช้ : ทาบางๆ เฉพาะก่อนนอนเท่านั้น
ควรหลีกเลี่ยงบริเวณที่บอบบาง เช่น ใต้ตา รอบปาก ข้างจมูก
ผลข้างเคียงที่พบได้ของยาชนิดนี้ : ทำให้ผิวแห้ง แสบแดง ลอก จึงควรทาปริมาณน้อยๆ บางๆ เฉพาะบริเวณที่มีสิว หรือ รอยดำจากสิวเท่านั้น
หากเกิดการระคายเคือง หรือ ผิวแห้งลงมาก ให้ลดการทาลง เป็นวันเว้นวัน
หากมีอาการแสบแดง ควรหยุดใช้ และ ปรึกษาแพทย์นะคะ
การทายาชนิดนี้ ทำให้ผิวไวต่อแดด ควรทาครีมกันแดดอย่างเพียงพอด้วยเมื่อใช้ยาชนิดนี้
Adapalene เป็นอนุพันธ์ของวิตามินเอ ที่มีผลข้างเคียงที่สุดในยากลุ่มนี้ค่ะ
*** ข้อควรระวัง : ยาชนิดนี้ เป็นอันตรายสำหรับผู้ที่ตั้งครรภ์ จึงควรใช้ภายใต้การดูแลของแพทย์ หรือ เภสัชกรนะคะ
5. แป้งน้ำแต้มสิว หรือ Lotion P ของศิริราชที่โด่งดัง
ส่วนผสม : Salicylic Acid , Resorcinol , Zinc Oxide
คุณสมบัติ : ช่วยผลัดเซลล์ผิว ลดการอุดตัน ลดการอักเสบ ฆ่าเชื้อ
วิธีใช้ : ใช้แต้มสิวอักเสบ สิวอุดตัน หรือ ทาบางๆ เช้า-เย็น สามารถใช้ได้ทั้งสิวบริเวณใบหน้า และ ลำตัว
ผลข้างเคียง : เนื่องจากมีผลในการผลัดเซลล์ผิว อาจทำให้เกิดการระคายเคือง แดง คัน เป็นผื่น
รวมทั้งอาจทำให้ผิวไวต่อแดด จึงควรใช้อย่างระมัดระวัง โดยเฉพาะในคนที่มีผิวแพ้ง่าย และ ควรใช้ครีมกันแดดด้วยค่ะ
♦ ยารักษาสิวหลายชนิด ลดการทำงานของต่อมไขมัน เมื่อใช้ต่อเนื่อง ทำให้ผิวแห้งลง
♥ ในระหว่างการทายา จึงควรบำรุงด้วยมอยเจอไรเซอร์ เพื่อให้ความชุ่มชื้นแก่ผิว ลดการระคายเคืองจากยา
ควรเลือกเป็นสูตรอ่อนโยน และไม่ทำให้อุดตัน เพื่อป้องกันการกลับเป็นซ้ำของสิวด้วยนะคะ